รวม 10 สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
รวม 10 สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
การทำรากฟันเทียม (Dental Implant) เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการทดแทนฟันที่สูญเสียไป เพราะมีความแข็งแรงและเหมือนฟันธรรมชาติ แต่การก่อนตัดสินใจทำรากฟันเทียม ควรเข้าใจข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
รวม 10 สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
1.รากฟันเทียม (Dental Implant) คืออะไร?
2.รากฟันเทียม (Dental Implant) มีทั้งหมดกี่แบบ?
3.รากฟันเทียม (Dental Implant) เหมาะกับใคร?
4.ข้อดีการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
5.ข้อจำกัดการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
6.ระยะการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
7.ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
8.ค่าใช้จ่ายในการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
9.แนวทางการดูแลรักษารากฟันเทียม (Dental Implant)
10.เลือกคลินิกทำ รากฟันเทียม (Dental Implant) อย่างไรให้มั่นใจ ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี
รากฟันเทียม (Dental Implant) คืออะไร?
รากฟันเทียม (Dental Implant) คือวัสดุไทเทเนียม (Titanium) ที่ใช้ฝังลงในกระดูกขากรรไกรเพื่อทำหน้าที่แทนรากฟันธรรมชาติ ซึ่งถูกออกแบบมาให้เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
รากฟันเทียมจะรองรับการทำครอบฟัน สะพานฟัน หรือฟันปลอมถาวร ช่วยให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ทั้งในด้านรูปลักษณ์และการใช้งาน ให้ความรู้สึกเหมือนมีฟันจริงอยู่ในปาก ไม่หลุด ไม่โยก และไม่ต้องถอดเข้า-ออกเหมือนฟันปลอม
ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรง ยึดติดกับกระดูกได้ดี และมีอายุการใช้งานยาวนาน รากฟันเทียมจึงถือเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาฟันที่ดีที่สุดในปัจจุบัน แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำฟันปลอมทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับความทนทานและความสบายในการใช้งานแล้ว ถือว่าคุ้มค่าในระยะยาว
รากฟันเทียม (Dental Implant) มีทั้งหมดกี่แบบ?
รากฟันเทียมแบ่งออกเป็น 5 แบบ ดังนี้
1.รากฟันเทียมสำหรับทดแทนฟันเพียง 1 ซี่ (Single Tooth Implant)
2.รากฟันเทียมสำหรับหลายซี่ (Multiple Dental Implants)
3.รากฟันเทียมเพื่อรองรับสะพานฟันกรณีฟันหายเป็นจำนวนมาก (Implant-Supported Bridge)
4.รากฟันเทียมสำหรับทดแทนฟันที่หายไปทั้งปาก โดยใช้ฟันปลอมยึดกับรากเทียม (Implant Overdenture)
5.รากฟันเทียมทั้งปากในรูปแบบ All-on-4 ที่ใช้รากเทียมเพียง 4 ตัวรองรับทั้งปาก (All-on-4 Implant)
รากฟันเทียม (Dental Implant) เหมาะกับใคร?
การทำรากฟันเทียมเหมาะสำหรับ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่:
1.ผู้ที่สูญเสียฟันธรรมชาติ
รากฟันเทียมเหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันธรรมชาติไปและต้องการฟื้นฟูการใช้งานฟันให้ใกล้เคียงกับฟันจริงมากที่สุด รากฟันเทียมจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการเคี้ยว พูด และยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ
2.ผู้ที่ใส่ฟันปลอมแล้วพบปัญหา
เช่น ฟันปลอมหลวม ไม่กระชับ หรือถอดฟันปลอมบ่อยจนเกิดความไม่สะดวก รากฟันเทียมสามารถช่วยยึดฟันปลอมให้แน่น ลดปัญหาการหลุดหรือเคลื่อนขณะใช้งาน ทำให้ใช้งานได้มั่นใจยิ่งขึ้น
ข้อดีการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
- แข็งแรง ทนทาน และช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ยึดติดกับกระดูกขากรรไกร ทำให้ฟันมั่นคงและเป็นธรรมชาติเสมือนฟันจริง
- ไม่สร้างความรำคาญหรือเจ็บปวดเหมือนฟันปลอม สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย
- ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการยิ้มและพูดคุย เพราะรูปลักษณ์ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ
- การทำรากฟันเทียมไม่จำเป็นต้องกรอฟันข้างเคียงเหมือนการทำสะพานฟัน ช่วยรักษาโครงสร้างฟันเดิมไว้
ข้อจำกัดการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
- การทำรากฟันเทียมไม่เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากกระดูกขากรรไกรยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
- อาจต้องปลูกกระดูกก่อนหรือระหว่างขั้นตอนฝังรากเทียม หากกระดูกขากรรไกรบางหรือไม่แข็งแรงพอ
- โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน มะเร็ง หรือโรคที่ต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน อาจความเสี่ยงสูงในการทำรากฟันเทียม
- ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีความเสี่ยงต่อการรักษาที่สูงขึ้น
- ค่าใช้จ่ายสูงกว่าฟันปลอมหรือสะพานฟัน
- ใช้เวลารักษานาน ต้องรอกระดูกยึดกับรากฟัน นาน 3-6 เดือน
ระยะการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
การรักษาด้วยรากฟันเทียมแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก ดังนี้:
ระยะแรก: เป็นขั้นตอนการฝังรากฟันเทียมลงในกระดูกขากรรไกร แล้วรอให้รากฟันเชื่อมติดกับกระดูกโดยสมบูรณ์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพกระดูกของผู้ป่วยและชนิดของรากฟันเทียมที่ใช้
ระยะที่สอง: หลังจากรากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกดีแล้ว จึงดำเนินการใส่ฟันเทียมครอบบนรากฟัน เพื่อให้สามารถใช้งานได้เหมือนฟันธรรมชาติ
ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
โดยทั่วไป การทำรากฟันเทียมแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: ประเมินสุขภาพช่องปากก่อนทำรากฟันเทียม
ทันตแพทย์จะตรวจสภาพช่องปากเพื่อวางแผนการรักษา เริ่มจากตรวจตำแหน่งฟันที่หายไปหรือถอนออก พร้อมพิจารณาความจำเป็นในการฝังรากเทียม โดยอาจมีการถ่ายภาพรังสี 3 มิติ หรือ CT Scan เพื่อประเมินความกว้างและความสูงของกระดูกให้เหมาะสม จากนั้นวางแผนการรักษาให้เหมาะกับแต่ละคน
ขั้นตอนที่ 2: ฝังรากฟันเทียม (Dental Implant)
หลังวางแผนเรียบร้อย ทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดเล็กฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร โดยใช้การฉีดยาชาเพื่อลดความเจ็บปวด หลังจากนั้นทันตแพทย์จะนัดตัดไหมและรอให้รากเทียมยึดติดกับกระดูกประมาณ 3 เดือน
ขั้นตอนที่ 3: ติดครอบฟัน
เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกดีแล้ว ทันตแพทย์จะนัดพิมพ์ปากและติดครอบฟัน ซึ่งช่วยให้การบดเคี้ยวมีประสิทธิภาพและรู้สึกใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติที่สุด
ค่าใช้จ่ายในการทำรากฟันเทียม (Dental Implant)
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมรากฟันเทียมแต่ละรุ่นจึงมีราคาแตกต่างกัน โดยความแตกต่างของราคามักเกิดจากคุณภาพของวัสดุ กระบวนการผลิต เทคโนโลยีที่ใช้ และชื่อเสียงของแบรนด์
ปัจจุบันรากฟันเทียมมีหลากหลายราคา ราคาถูกหรือราคาแพงจะขึ้นอยู่กับแบรนด์ และวัสดุที่แต่ละคลินิกเลือกใช้ ซึ่งมีตั้งแต่แบรนด์จากไทย และเกาหลี ไปจนถึงแบรนด์ระดับพรีเมียมจากอเมริกา ยุโรป และสวิตเซอร์แลนด์
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ควรปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อเลือกประเภทของรากฟันเทียมที่เหมาะกับสภาพช่องปากและงบประมาณมากที่สุด
บริการรากฟันเทียมที่ Siam Dental Clinic
แนวทางการดูแลรักษารากฟันเทียม (Dental Implant)
การดูแลรากฟันเทียมหลังการผ่าตัดอย่างถูกวิธี เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้แผลหายดี ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน และยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมในระยะยาว คำแนะนำที่ควรปฏิบัติตามมีดังนี้
1.การดูแลรักษาหลังหลังผ่าตัด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล: เลี่ยงการสัมผัสแผล การใช้ลิ้นดุนแผลเล่น การบ้วนปากแรง หรือถ่มน้ำลาย ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อให้ลิ่มเลือดมีการก่อตัวอย่างสมบูรณ์
- ประคบเย็น: ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณแก้มด้านนอกช่วง 2448 ชั่วโมง เพื่อลดอาการบวม และลดการอักเสบ
- พักผ่อนให้เพียงพอ: หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรง เช่น ยกของหนัก หรือออกกำลังกายหนักในช่วง 23 วันแรก
- นอนยกศีรษะสูง: ในคืนแรกหลังผ่าตัดรากฟันเทียม ควรหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยลดอาการบวมและป้องกันเลือดออกบริเวณแผล
2.การดูแลเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม
- ควรทานอาหารอ่อน: อย่างน้อย 710 วัน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง กรอบ หรือเหนียวที่อาจกระทบกับรากฟัน
- ดื่มน้ำมาก ๆ: เพื่อช่วยกระบวนการฟื้นฟู แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้หลอดดูด
- งดแอลกอฮอล์และบุหรี่: เพราะส่งผลโดยตรงต่อกระบวนการสมานแผลและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความล้มเหลวของการรักษารากฟันเทียม
3.การรักษาความสะอาดในช่องปาก
- แปรงฟันอย่างระมัดระวัง: เริ่มแปรงได้หลังผ่าตัด 2448 ชั่วโมง โดย ใช้แปรงขนนุ่ม และควรเว้นบริเวณที่ผ่าตัดรากฟันเทียมไว้
- ใช้น้ำยาบ้วนปากต้านเชื้อ: เช่น คลอร์เฮกซิดีน 0.12% ตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อลดการติดเชื้อ
- ดูแลซอกฟัน: เมื่อแผลเริ่มหายดี ให้เริ่มใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน โดยควรแปรงอย่างระมัดระวัง
4.การติดตามผลและการดูแลโดยทันตแพทย์เฉพาะทาง
- ตรวจตามทันตแพทย์นัด: เพื่อประเมินอาการแผล ถอดไหม และตรวจดูว่ารากฟันเทียมยึดกับกระดูกได้ดีหรือไม่ (osseointegration)
- ถ่ายภาพรังสี (x-ray): เพื่อตรวจสอบระดับกระดูกบริเวณรอบรากฟันเทียมในทุกๆ ปี
- ทำความสะอาดแผล: ควรทำความสะอาดแผลโดยผู้เชี่ยวชาญ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ควรใช้เครื่องมือที่ไม่ทำลายพื้นผิวรากฟัน
5.ปรับพฤติกรรมและควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
- หากมีพฤติกรรมกัดหรือขบฟันระหว่างนอนหลับ ควรใส่เครื่องป้องกันฟัน (nightguard) เพื่อช่วยลดแรงกดบนรากฟันเทียมและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคกระดูกพรุน เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการยึดของรากเทียม
- แจ้งแพทย์เรื่องยาหากมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะยากลุ่ม bisphosphonates ที่มีผลต่อกระดูกขากรรไกร
เลือกคลินิกทำ "รากฟันเทียม (Dental Implant)" อย่างไรให้มั่นใจ ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี
การเลือกคลินิกทำรากฟันเทียม (Dental Implant) ควรให้ความสำคัญกับมาตรฐานการรักษาและความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์เฉพาะทาง มากกว่าจะพิจารณาแค่เรื่องความสะดวกในการเดินทาง เพราะต่างจากการจัดฟันที่ต้องเข้าพบแพทย์เป็นประจำ การทำรากฟันเทียมมักไม่ต้องนัดบ่อยครั้ง ดังนั้น การตรวจสอบประวัติคลินิก คุณสมบัติของทีมทันตแพทย์ และรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้
Siam Dental Clinic คลินิกทันตกรรมเฉพาะทางครบวงจร เครื่องมือทันสมัยมาตรฐานระดับโรงพยาบาล ให้บริการรากฟันเทียมโดยทันตแพทย์เฉพาะทางที่มากด้วยประสบการณ์ ให้คุณมั่นใจในทุกขั้นตอนการรักษา พร้อมให้คำปรึกษาฟรีตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ารับบริการ